Categories
News & Activities

กิจกรรม Hylife CSR

Hylife CSR รวมพลังชาวไฮไลฟ์ ร่วมกับ เทศบาลท่าวังตาล ลงพื้นที่ทำความสะอาดและฟื้นฟูบริเวณถนนรอบหมู่บ้านเวียงกุมกาม รวมถึงพื้นที่สาธารณะต่างๆ และบ้านของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

กลุ่มบริษัทไฮไลฟ์ได้ร่วมสนับสนุนอุปกรณ์การทำความสะอาดที่จำเป็น เช่น ไม้กวาดทางมะพร้าว จอบ พลั่ว และรองเท้าบูทยาง โดยอุปกรณ์ทั้งหมดได้มอบให้แก่เทศบาลตำบลท่าวังตาล เพื่อใช้ในการฟื้นฟูและทำความสะอาดพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม

การร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของกลุ่มบริษัทไฮไลฟ์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท พินนะเคิล แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด ที่ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือชุมชนและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี โดยมีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนและร่วมพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

 

Categories
News & Activities

อัพเดตค่าโอนที่ดิน ปี2567 ใช้เงินกี่บาท?

สวัสดีครับวันนี้เราจะพาทุกคนไปอัพเดตค่าการโอนบ้าน หรือ อสังหาริมทรัพย์ การซื้อขายที่ดินหรือที่พักอาศัยมีค่าใช้จ่ายหลักๆ ได้แก่ ค่าโอน ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมีรายละเอียดดังนี้:

ค่าใช้จ่ายในการโอนอสังหาริมทรัพย์

  1. ค่าคำขอโอนที่ดิน: 5 บาท
  2. ค่าอากร: 5 บาท
  3. ค่าพยาน: 20 บาท
  4. ค่าธรรมเนียมในการโอน: 2% ของราคาประเมินหรือราคาขาย (ปี 2567 ลดเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท)
  5. ค่าจดจำนอง: ปกติ 1% ของมูลค่าจำนอง (ปี 2567 ลดเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท)
  6. ค่าอากรแสตมป์: 0.5% ของราคาซื้อ-ขายหรือราคาประเมินทุนทรัพย์
  7. ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ: 3% ของราคาขายหรือราคาประเมินทุนทรัพย์
  8. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย: ตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

เงื่อนไขสำหรับมาตรการลดค่าธรรมเนียมปี 2567

  1. เฉพาะการซื้อ-ขายที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 7 ล้านบาท
  2. โอนและจดจำนองในคราวเดียวกัน
  3. ผู้ซื้อเป็นบุคคลธรรมดา สัญชาติไทย
  4. ต้องโอนและจดจำนองภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2567

ตัวอย่างการคำนวณ

  • ซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท:
    • ค่าธรรมเนียมการโอน 100 บาท (0.01%)
    • ค่าจดจำนอง 100 บาท (0.01%)
    • รวม 200 บาท

เอกสารที่ใช้ในการโอนที่ดิน

  1. โฉนดที่ดินฉบับจริง
  2. บัตรประชาชนและสำเนา
  3. ทะเบียนบ้านและสำเนา
  4. หนังสือเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)
  5. หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
  6. หนังสือให้ความยินยอมของคู่สมรส (ถ้ามี)
  7. สำเนาทะเบียนหย่า (ถ้ามี)

การคำนวณภาษีและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจมีรายละเอียดเพิ่มเติมตามกรณีของแต่ละบุคคลและประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อ-ขาย

อ่านต่อได้ที่

>>>อัพเดตภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้างในปี 2567 – PINNACLE (pinnacle-amc.co.th)<<<

เว็บไซต์และช่องทางการติดต่ออย่างเป็นทางการ

Hylife Group

Facebook page Pinnacle

ช่องทางการขายทรัพย์

Thai asset hub

 

Categories
News & Activities

เงินลงทุนหุ้น “ของคนไทย” ในต่างชาติมีมากแค่ไหนกัน?

ปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับว่าช่วงหลังมานี้การลงทุนในหุ้น หรือกองทุนต่างๆนอกประเทศนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าผลตอบแทนกำไรดีกว่าการลงทุนหุ้นในประเทศอยู่มากทำให้นักลงทุนชาวไทยหันไปลงทุนกับหุ้นและกองทุนนอกประเทศมากขึ้น และยังมีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไปเนื่องจากปัญหาคุณภาพหุ้นไทยที่ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยจะพบว่า มูลค่าเงินลงทุนหุ้น ตราสารหนี้และกองทุน ในต่างประเทศของนักลงทุนไทยทั้งกองทุนรวมและนักลงทุนรายย่อยในช่วง 10 ปีที่ผ่าน เพิ่มจาก 20,448.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(746,376.09 ล้านบาท) ในปี 2558 เป็น 45,546.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(1,662,451.995 ล้านบาท) ในเดือนเมษายน 2567 หรือเพิ่มขึ้น 25,097.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ( 916,075.905 ล้านบาท)

การเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนในต่างประเทศมาจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและกองทุนรวม โดย

นักลงทุนรายย่อยเพิ่มจาก 204.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 เป็น 8,163.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนเมษายน 2567 เพิ่มขึ้น 7,959.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กองทุนรวมเพิ่มจาก 20,244.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 เป็น 37,382.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนเมษายน 2567 เพิ่มขึ้น 17,138.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับนักลงทุนรายย่อย การลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ 3,268.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ 2,614.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหน่วยลงทุน 2,076.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รายละเอียดตามตารางที่ 2

 

สำหรับกองทุนรวม การลงทุนในกองทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ 17,400.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาเป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 1,217.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ลดลง 1,478.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยยอดคงค้างเงินลงทุนในต่างประเทศของกองทุนรวมที่ไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 20,244.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2558 เป็น 37,382.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 17,138.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รายละเอียดตามตารางที่ 3

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทยหันไปสนใจการลงทุนในต่างประเทศกันมากขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสในการเติบโตและค่าตอบแทนสูงมากกว่า และอีกปัจจัยคือจุดเด่นของหุ้นไทยที่สภาพคล่องสูงใช้ดึงดูดความสนใจให้มาลงทุนกลับหายไปจึงทำให้ไม่แปลกที่ทำไมการลงทุนในหุ้นไทยถึงลดลง

 

แล้วทำไมคนไทยจึงหันไปลงทุนในหุ้นต่างชาติและแน้วโน้มในปัจจุบันส่งผลอย่าไรในอนาคตเรามีข้อมูลที่น่าสนใจให้อ่านต่อได้ที่

>>>หุ้นไทยในปัจจุบัน ดิ่งสุดในรอบหลายปี รุนแรงแค่ไหน? – PINNACLE (pinnacle-amc.co.th)<<<

เว็บไซต์และช่องทางการติดต่ออย่างเป็นทางการ

Hylife Group

Facebook page Pinnacle

ช่องทางการขายทรัพย์

Thai asset hub

Categories
News & Activities

หุ้นไทยในปัจจุบัน ดิ่งสุดในรอบหลายปี รุนแรงแค่ไหน?

กราฟดัชนี SET ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2567

ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น เศรษฐกิจไทยยังคงน่าเป็นห่วงจากการที่ดัชนีหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 1304.89 ต่ำสุดที่ 1296.95(วันที่17 มิถุนายน 2567) ซึ่งต่ำสุดในรอบ 4 ปี และการที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิออกไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 90,000 ล้านบาท สถานการณ์ดังกล่าวเกิดจากที่เศรษฐกิจไทยนั้นโตช้าเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน อีกทั้ง GDP เฉลี่ยทั่วโลกที่ IMF คาดการณ์ไว้นั้น อยู่ที่3.2 ซึ่งไทยเราเองทำไปได้แค่2.6 เปอร์เซ็นต์

คุณ แมนพงศ์ เสนาณรงค์ (รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

คุณ แมนพงศ์ เสนาณรงค์ (รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) กล่าวว่า “ตลาดหุ้นไทยนั้นมืดมนเพียงบางส่วน แต่ยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายไปทั้งหมด” เพราะยังมีหลายๆธุรกิจที่เติบโตได้ดีหลังจากวิกฤตโควิด เช่นการท่องเที่ยว สินค้าแบรนด์ต่างๆที่โตขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับสากล เพียงแต่ว่าประเทศไทยนั้นยังไม่มีระบบเศรษฐกิจที่จะมาขับเคลื่อนการลงทุนในไทย และการที่นักลงทุนลดความเชื่อมั่นลง จากปัญหาต่างๆ เช่น ความกังวลเรื่องความไม่เป็นธรรม มีความสงสัยว่ากฎเกณฑ์ที่มีจะส่งผลอย่างไรเป็นไปตามมารตราฐานสากลหรือไม่ ในขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับปรุงและสร้างเครื่องมือ ในการช่วยเหลือในเรื่องของการลงทุน และเปิดเผยข้อมูลมากขึ้นเพื่อให้ผู้ลงทุนนำไปประกอปการตัดสินใจ

คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ (ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด)

การหายไปของสภาพคล่องสงผลยังไงมาก-น้อยเพียงใด?

ต้องเกริ่นก่อนนะครับว่าเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยคือการมีสภาพคล่องที่ค่อยข้างเยอะซึ่งแตกต่างจากสถาณการณ์ในปัจจุบัน คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ได้ในความเห็นมาครับว่า “ตลาดหุ้นไทยในเวลานี้นั้นรู้สึกได้ว่าสิ้นหวังครับ” เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายนั้นตกต่ำลงอย่างมากอยู่ที่เพียง 40,000 กว่าล้านบาท คุณประกิต ได้กล่าวต่ออีกว่า “ตอนนี้เป็นสถานะการณ์ที่แย่ที่สุดเลยตั้งแต่ทำงานมา” เพราะขาลงในอดีตจะมีพื้นที่ในการฟื้นตัวอยู่บ้างจากแรงซื้อที่เข้ามาบ้าง แต่ในปัจจุบันนั้นไม่มีเลย เหตุผลสำคัญเกิดจากการขาดสภาพคล่อง เกิดจากที่นักลงทุนไทยแห่เข้าไปซื้อหุ้นไทยในช่วงโควิดสังเกตได้จากบัญชีหุ้นที่เพิ่มขึ้น จาก 1,500,000 บัญชี กลายเป็น 3,000,000 แต่ผลประกอปการกลับไม่เป็นแบบที่คาดไว้ ทำให้เหล่านักลงทุนขาดทุนกันไปหรือเรียกได้ว่าติดดอยครับ เหตุผลต่อมาก็คืองบประมาณของรัฐบาลที่ล่าช้าไปถึง 7 เดือน ทำให้เศรษฐกิจได้ผลกระทบอย่างแน่นอนครับ และอีกเหตุผลคือดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น ทำให้ผลกำไรลดลงตามไปด้วยนั่นเองครับ อีกเรื่องที่น่ากังวลที่คุณประกิตได้พูดถึงก็คือเรื่องปัญหาทางด้านโครงสร้างที่ลงรากลึกไปในทุกๆด้านโดยเฉพาะ ศักยภาพในด้านการแข่งขัน, การส่งออก, การผลิต

ก็ต้องยอมรับเลยนะครับว่าประเทศไทยในปัจจุบันนั้นมีปัญหาหลายด้านทั้งตลาดหุ้นและเศรษฐกิจก็แย่ไปตามๆกันเข้าขั้นน่าเป็นห่วงเลยครับ ก็คงต้องจับตามองและรอดูนโยบายทางการเงินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะรองรับหรือแก้ไขสถานะการได้มากน้อยเพียงใดให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้

 

เว็บไซต์และช่องทางการติดต่ออย่างเป็นทางการ

Hylife Group

Facebook page Pinnacle

ช่องทางการขายทรัพย์

Thai asset hub

Categories
News & Activities

บริษัทพินนะเคิลร่วมกับบริษัทแม่ Hylife Group เปิดตัวสำนักงานใหญ่และ อาคารพาณิชย์แห่งใหม่ พร้อมสร้างเครือข่ายธุรกิจกับนักลงทุนกว่า 9 ประเทศในเอเชีย

บริษัทพินนะเคิล แอสเซท แมเนจเม้นท์ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดงานเปิดตัว Hylife Group Corporate สำนักงานใหญ่และ อาคารพาณิชย์แห่งใหม่ของบริษัทโฮลดิ้งยักษ์ใหญ่ในภาคเหนือ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยในงานนี้ได้รับเกียรติจากเจ้าหน้าที่ทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงนักลงทุน และผู้บริหารระดับสูงมาร่วมเปิดงานทั้งหมดถึง 9 ประเทศ  ประกอบด้วย ประเทศไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียนดนาม, เกาหลีใต้, กัมพูชา, อินเดีย, ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย ซึ่งล้วนเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทในเครือ Hylife Group

 

โดยภายในงานมีการจัดกิจกรรมบูธแนะนำบริษัท พินนะเคิล แอสเซท แมเนจเม้นท์ พร้อมนำเสนอนวัตกรรมการพัฒนาระบบภายใน ที่บริษัทฯ ได้พัฒนาขึ้นมาเองเพื่อเกื้อหนุนกระบวนการทำงานด้านการบริหารสินทรัพย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างระบบ PAM Core System รวมถึง การนำเสนอวิสัยทัศน์และ ผลสำเร็จในช่วงปีการดำเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจและการตอบรับอย่างดีจากแขกที่มาร่วมงาน นอกจากนี้ บริษัทพินนะเคิลยังได้มีโอกาสพบปะกับแขก VIP จากหลากหลายประเทศที่ช่วยสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างเครือข่ายธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจต่อไป

การนำเสนอบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนืออย่าง บริษัท พินนะเคิล แอสเซท แมเนจเม้นท์ ในงานเปิดตัว Hylife Group Corporate ถือเป็นการแสดงถึงความแข็งแกร่งและ ความร่วมมือในเครือ Hylife Group ที่สามารถร่วมกันสร้างสรรค์และพัฒนาธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัทพินนะเคิล แอสเซท แมเนจท์เม้นท์ ที่สามารถแสดงถึงศักยภาพและ ความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจร่วมกับเครือ Hylife Group เพื่อสร้างความพึงพอใจและประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ

เว็บไซต์และช่องทางการติดต่ออย่างเป็นทางการ

Hylife Group

Facebook page Pinnacle

ช่องทางการขายทรัพย์

Thai asset hub

 

Categories
News & Activities

วิกฤตสินเชื่อบ้าน: ภาระหนี้ Gen Y ส่งสัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทย

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ( เครดิตบูโร ) โพสต์ Facebook โดยเปิดเผยรายงานภาพรวมตลาดสินเชื่อบ้านในไตรมาสแรกปี 2567 นั้นยังค่อนข้างน่าเป็นห่วง จากข้อมูลล่าสุดจากเครดิตบูโรแสดงภาพรวมที่ทำให้เห็นถึงสัญญาณต่างๆที่บ่งบอกถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติสินเชื่อที่ลดลงส่งผลให้มีผู้กู้รายใหม่น้อยลง และปริมาณหนี้เสียและหนี้กำลังจะเสียที่เพิ่มสูงขึ้น ในปริมาณหนี้นี้กว่าครึ่งเป็นของกลุ่ม Gen Y ที่แบกรับหนี้เหล่านี้อยู่

ตลาดสินเชื่อบ้านซบเซา

บรรยากาศในตลาดสินเชื่อบ้านช่วงไตรมาสแรกปีนี้เต็มไปด้วยความอึมครึม ผู้ขอสินเชื่อจำนวนมากต้องพบกับความผิดหวังเมื่อถูกปฏิเสธถึง 50% สาเหตุหลักมาจากการที่สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ ทั้งในด้านการตรวจสอบรายได้และประวัติทางการเงิน เพื่อลดความเสี่ยงจากหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ จำนวนบัญชีสินเชื่อบ้านใหม่ที่เปิดในไตรมาสแรกปีนี้ยังลดลงอย่างน่าใจหาย เหลือเพียง 5.9 หมื่นบัญชี เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมากถึง 4.3 แสนบัญชี สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงานของผู้บริโภค

 

กราฟแท่งสีแดงคือหนี้ที่ค้างเกิน​ 90 วัน หรือหนี้เสียของสินเชื่อบ้าน​ แท่งสีเหลืองคือหนี้กำลังจะเสียหรือ​ SM สินเชื่อบ้าน​ กราฟแท่งด้านซ้ายคือจำนวนบัญชีแยกตามช่วงวัยของ​ Generation ในแต่ละไตรมาส​ เช่น ไตรมาส​ 1 ปี​ 2567​ Gen Y ถือสัญญาสินเชื่อบ้านที่เป็น​ NPL เท่ากับ​ 83,281 สัญญา​ คิดเป็นเงิน​ 1.24 แสนล้านบาท​

หนี้เสียพุ่งสูง – Gen Y แบกภาระหนัก

ปัญหาที่น่ากังวลที่สุดคือปริมาณหนี้เสีย (NPL) สินเชื่อบ้านที่เพิ่มขึ้นถึง 2 แสนล้านบาท หรือเติบโต 18% จากปีก่อนหน้า ขณะที่หนี้กำลังจะเสีย (SM) ก็สูงถึง 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% สิ่งที่น่าตกใจคือกลุ่มคน Gen Y ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลับกลายเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้เสียและหนี้กำลังจะเสียรวมกันมากกว่า 50% ของทั้งหมด

สาเหตุที่ Gen Y ต้องเผชิญกับวิกฤตหนี้สินเช่นนี้มีหลายประการ ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ รายได้ไม่เพิ่มขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้หลายคนก่อหนี้เกินตัวโดยไม่ได้วางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

วิกฤตหนี้สินเชื่อบ้านที่เกิดขึ้น ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้กู้และสถาบันการเงินเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศด้วย หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นจะทำให้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนและการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา เช่น การถูกยึดบ้าน การล้มละลาย หรือแม้กระทั่งการฆ่าตัวตาย

ทางออกและแนวทางแก้ไข

เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้สินเชื่อบ้าน จำเป็นต้องมีมาตรการที่ครอบคลุมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

  • ระยะสั้น: รัฐบาลและสถาบันการเงินควรเร่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การลดดอกเบี้ย หรือการพักชำระหนี้
  • ระยะยาว: ส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ เพื่อให้มีการจ้างงานและรายได้ที่มั่นคง

วิกฤตหนี้สินเชื่อบ้านเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและท้าทาย แต่หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง ก็ยังมีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ และนำพาเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

 

ที่มา : Facebook ส่วนตัวคุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ( เครดิตบูโร )

 

บทความน่าสนใจ : หนี้บัตรเครดิตพุ่ง 1 ล้านใบ! จ่ายขั้นต่ำ 8% ไหวมั้ย? – PINNACLE (pinnacle-amc.co.th)

 

Categories
News & Activities

หนี้บัตรเครดิตพุ่ง 1 ล้านใบ! จ่ายขั้นต่ำ 8% ไหวมั้ย?

หนี้บัตรเครดิตพุ่ง 1 ล้านใบ! จ่ายขั้นต่ำ 8% ไหวมั้ย?

ในยุคปัจจุบัน บัตรเครดิตกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้จ่าย สะดวก รวดเร็ว และทันใจ สำหรับใครหลายๆคน แต่ในขณะเดียวกัน บัตรเครดิตก็เปรียบเสมือนดาบสองคม ที่พร้อมจะฟาดฟันผู้ใช้ที่ประมาท ทำให้เป็นหนี้เป็นสิน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต จากข้อมูลของเครดิตบูโร ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่า ยอดหนี้เสียจากบัตรเครดิตพุ่งสูงถึง 1 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 6.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 14.6% yoy สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเศรษฐกิจและภาระหนี้สินครัวเรือนที่ประชาชนแบกรับ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตเป็น 8% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ส่งผลให้ประชาชนมีภาระในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น และจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10% ในปี 2568

อาจเป็นรูปภาพของ แผนที่ และ ข้อความ

กลุ่ม Gen Y ได้รับผลกระทบหนัก

จากข้อมูลพบว่า กลุ่ม Gen Y เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากหนี้เสียบัตรเครดิตมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เปิดบัตรเครดิตใหม่จำนวนมาก และยังมีประสบการณ์การเงินน้อย ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มนี้ลดลง จากข้อมูลจะพบว่า

เปิดไม่เกิน​ 2 ปี​ 36,000 ใบ

เป็น Gen Y​ 20,000 ใบ

เปิดมากกว่า​ 2 ปี แต่ไม่เกิน​ 4 ปี 39,000 ใบ

Gen Y​ 27,000 ใบ

Gen X​ 9,200 ใบ

เปิดมากกว่า​ 4 ปี แต่ไม่เกิน​ 6 ปี​ 45,000 ใบ

 Gen Y​ 30,000 ใบ

​ Gen X​ 1,2000 ใบ

 

หนี้กำลังจะเสียพุ่ง 32.4%

นอกจากยอดหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังพบว่า ยอดหนี้กำลังจะเสีย (SML) ก็พุ่งสูงถึง 32.4% คิดเป็นยอดเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท ภายใน3 เดือน เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างอันตรายเลยครับถ้าหากกลายไปเป็นหนี้เสียแล้วจะขึ้นไปอยู่ที่เท่าไหร่กัน เพราะว่าเฉลี่ยแล้วคนเรามีบัตรเครดิตอยุ่ที่ 2-3 ใบประกับกับที่ค่าชำระเพิ่มมาอีกใบละ 3% ทำให้หลายๆคนขาดความสามารถในการชำระหนี้ได้ไหว

ถึงแม้ว่านโยบายการปรับขึ้นของการจ่ายเงินขั้นต่ำมีเป้าหมายในการช่วยให้เงินต้นลดลงมากขึ้นนั้นจะมีความหวังดีในการช่วยเหลือลูกหนี้ให้เงินต้นหมดไวขึ้นแต่ในยุคนี่ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ารายได้ของลูกหนี้จะมีเท่าเดิมนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องยากในการที่ลูกหนี้จะแบกรับเอาไว้ไหว

อย่างไรก็ตามหากต้องการที่จะช่วยเหลือลูกหนี้อาจจะมีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้อยู่อีกดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปซึ่งจะเป็นการสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจไทยอีกด้วย

 

แนวทางจากเครดิตบูโร

เครดิตบูโร ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลเครดิต ได้ริเริ่มโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหนี้เสีย ดังนี้

  • โครงการแก้ไขหนี้เสีย: ให้คำปรึกษา และแนวทางการแก้ไขหนี้เสียแก่ลูกหนี้
  • บริการไกล่เกลี่ยหนี้สิน: ไกล่เกลี่ยระหว่างลูกหนี้ และเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน
  • ข้อมูลความรู้ทางการเงิน: ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครดิต การวางแผนการเงิน และการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
  • สื่อประชาสัมพันธ์: รณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาหนี้เสีย และวิธีการป้องกัน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กส่วนตัว คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)

เนื้อหาที่น่าสนใจ หอการค้าไทยแห่งประเทศไทยยืนชัดไม่สนับสนุนนโยบาย ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400

Categories
News & Activities

หอการค้าไทยแห่งประเทศไทยยืนชัดไม่สนับสนุนนโยบาย ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400

หอการค้าและสมาคมหอการค้าไทยเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการแทนตนและสนับสนุนธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งมีภารกิจหลักในการส่งเสริมและประสานงานกับภาคเอกชนและรัฐบาลเพื่อพัฒนาทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ รวมถึงการสร้างเครือข่ายธุรกิจและการทำงานร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับการค้า การลงทุน และการพัฒนาธุรกิจทียั่งยืนในประเทศไทย.

หอการค้าและสมาคมหอการค้าไทยมักเป็นที่รู้จักในการเสนอแนวคิดและกิจกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการเสนอนโยบายและคำแนะนำต่อรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างเหมาะสมและยั่งยืน.

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมทั้งสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นมากกว่า 50 สมาคม ได้แสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายการ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท โดยการปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกลไกการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่น โดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าและบริการ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม

 

ซึ่งการที่รัฐบาลจะปรับให้ค่าแรงขั้นต่ำทั้งประเทศเท่ากันที่ 400 บาทนั้นค่อนข้างที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจถึงต้นทุนของการทำธุรกิจและนโยบายภาครัฐ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ยังมีปัญหาจากปัจจัยหลายประการที่มีความผันผวน

 

หอการค้า”ยื่น4ข้อเสนอถึงรัฐบาล

ดังนั้น จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาล คือ 

1.การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีควรปรับตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ส่วนการยกระดับรายได้ลูกจ้างให้สูงขึ้นก็ทำได้โดยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน

2.ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) อีกทั้ง ปัจจุบัน รัฐบาลได้ดำเนินการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2567 ไปแล้ว 2 ครั้ง จึงไม่ควรปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีเป็นครั้งที่ 3

3.อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเพียงอัตราค่าจ้างของแรงงานแรกเข้าที่ยังไม่มีฝีมือ แต่การปรับอัตราจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน 

ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมมาตรการทางภาษี ลดอุปสรรคต่อการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการและแรงงาน ให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน

4.การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็น และศึกษาถึงความพร้อมของแต่ละพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ รวมทั้งควรให้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจก่อนปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ดังกล่าว

 

สรุป การปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศมีผลกระทบต่อภาคเอกชนและการลงทุนในประเทศไทย การปรับอัตราค่าจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงานตามมาตรฐานและความต้องการของตลาดแรงงาน และควรมีการร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลในการหารือและตกลงกันเพื่อความยุติธรรมและการปรับที่เหมาะสมต่อสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ของแรงงานในประเทศไทยในระยะยาว.

Categories
News & Activities

อัพเดตภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้างในปี 2567

ตั้งแต่ปี2563 รัฐบาลได้มีการเรียกเก็บภาษีที่ดิน และเริ่มเก็บที่ 10% ของมูลค่าภาษีที่คำนวณได้ จนถึงปี 2566 ที่เก็บเพิ่มเป็น 85% และในปัจจุบันปี 2567 ได้มีประกาศใหม่ออกมาให้มีการเก็บภาษีเป็น 100% แล้วนะครับ เรามาอัพเดตกันดีกว่า ว่าใครต้องเสียภาษีบ้าง และใครถูกยกเว้นภาษีไม่ต้องจ่ายบ้าง บทความนี้ มีคำตอบครับ

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คือ ภาษีรายปีที่เก็บและคิดจากมูลค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่เราครอบครอง โดยมีองค์กรท้องถิ่น เช่น เทศบาล อบต. เป็นผู้จัดเก็บ แล้วใครต้องเสียภาษีที่ดินบ้าง?

  1. เจ้าของกกรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์
  2. ผู้ครอบครอง/ทำประโยชน์ในที่ดินนั้น จะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลก็ได้

เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่นี้ต้องดูตามโฉนดนะครับ หากมีเจ้าของร่วมกันหลายคน ก็ให้แค่ใครคนใดคนหนึ่งไปจ่ายภาษีให้ครบถ้วนจะถือว่าชำระเสร็จสิ้นแล้วนะครับ ซึ่งที่ดินแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันไปของภาษีโดยแบ่งไว้ 4 ประเภท ได้แก่

  1. ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม
  2. ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย
  3. ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม
  4. ที่ดินรกร้างว่างเปล่า

 

แล้วเราต้องจ่ายภาษีที่ดินกี่บาท?
ก่อนอื่นต้องทราบก่อนนะครับว่าการคำนวณภาษีนั้นจะคำนวณจาก “ราคาประเมินที่ดิน” นะครับ ไม่ใช่ราคาซื้อขายเพราะยังมีหลายๆคนเข้าใจผิดอยู่ โดยเรามีตารางราคาที่ดินคร่าวๆมาให้ดูกันครับ

ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม 

สำหรับเจ้าของที่ดินที่เป็นบุคคลธรรมดาหากที่ดินของท่านมีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่ถ้าที่ดินของคุณมีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีให้กับส่วนที่เกินมา(เช่น ที่ดินมีมูลค่า 65 ล้านซึ่งเกินมา 15 ล้าน ก็จะนำส่วนที่เกินมา15 ล้านไปคำนวณนั่นเองครับ)

ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย 
สำหรับบ้านหลังหลัก ที่เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นบุคคลธรรมดา และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จะได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีไม่เกิน 50 ล้านบาท แต่ถ้ามีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีตามอัตราปกติ สำหรับเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน (คอนโดมิเนียม หรือสร้างบ้านอยู่บนที่ดินเช่า) จะได้รับการยกเว้นภาษี 10 ล้านบาทแรก ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีที่ดินตามอัตราปกติ แต่สำหรับคนมีบ้านหลายหลัง ไม่ว่าจะมีชื่อหรือไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ที่ดินหรือบ้านหลังที่ 2 จะต้องเสียภาษีทั้งหมด ไม่ได้รับการยกเว้น

บ้านหลังหลัก – คือบ้านพร้อมที่ดินที่เราเป็นเจ้าของ (มีชื่อเราอยู่หลังโฉนด) และ ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้นด้วย (ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าบ้านนะครับ)
บ้านหลังอื่น – คือบ้านหลังอื่นๆ จะเป็นหลังที่ 2, 3, 4….. ก็ได้ที่ไม่ใช่บ้านหลังหลักนั่นเองครับ

 

บ้านที่มีชื่อในทะเบียนบ้านแต่ไม่มีที่ดิน – ส่วนมากจะเป็นคอนโดมีเนี่ยม

 

ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม 
          หมายถึง ที่ดินอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรและการอยู่อาศัย เช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ โรงงาน หอพักรายวัน บ้านเช่ารายวัน

ที่ดินรกร้างว่างเปล่า
ถ้ามีที่ดินเปล่าแต่ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์ใดใด จะถูกจัดเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสียภาษีแพงที่สุดและถ้าปล่อยรกร้างไว้นานติดต่อกัน 3 ปี เมื่อไปเสียภาษีในปีที่ 4 จะถูกเก็บเพิ่มอีก 0.3% และจะเพิ่มอัตราภาษีอีก 0.3% ในทุก ๆ 3 ปีที่ปล่อยที่ดินรกร้าง แต่โดยรวมทั้งหมดแล้วจะเก็บภาษีได้ไม่เกิน 3%

ข้อยกเว้น : หากเป็นทรัพย์สินที่ได้รับมรดกมาจะได้ลดภาษีอีก 50% 

ถ้าเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาได้รับมรดกเป็นบ้านพร้อมที่ดิน หรือห้องชุด โดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย หากจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก่อนวันที่ 13 มี.ค. 2562 จะได้ลดภาษีที่ดิน 50% ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย

 

 

 

Categories
News & Activities

Yield ทำความรู้จักก่อนลงทุน คำที่มือใหม่ทุกคนต้องรู้จัก

Yield ทำความรู้จัก ก่อนลงทุนสำหรับมือใหม่

สำหรับมือใหม่แล้วนั้นคำว่า yield เป็นคำที่สำคัญมากที่ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรที่แม่นยำและแน่นอนมากขึ้นในทางการเงินและการลงทุน “Yield” หมายถึง รายได้ที่นักลงทุนได้รับจากการถือสินทรัพย์ โดยมักนับเป็นร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่ลงทุนทั้งหมด วันนี้เราจะแนะนำหัวข้อหลักๆที่ควรทำความเข้าใจเอาไว้

 

ประเภทของ Yield สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามแหล่งกำไรหรือรายได้ที่มากัน โดยสามารถจำแนกได้เป็นดังนี้:

  • ดอกเบี้ย (Interest Yield): คือ รายได้ที่นักลงทุนได้รับจากการถือตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรธนาคาร หรือสัญญาเงินฝาก ซึ่งการคำนวณดอกเบี้ยส่วนใหญ่จะใช้ร้อยละเป็นหน่วย

 

  • ผลประโยชน์ (Dividend Yield): คือ รายได้ที่นักลงทุนได้รับจากการถือหุ้นของบริษัท เมื่อบริษัทแจกเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนใหญ่นับเป็นร้อยละของราคาหุ้น

 

  • การผลิต (Production Yield): ใช้ในภาคเกษตรหรืออุตสาหกรรม หมายถึง ปริมาณผลผลิตที่ได้รับจากการเพาะปลูกหรือการผลิตสินค้า ในรูปแบบของจำนวนหรือปริมาณสินค้า

 

  • ผลตอบแทนจากการลงทุน (Investment Yield): คือ ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน ซึ่งสามารถมาจากดอกเบี้ย ค่าขายหลังจากการถือหรือกำไรที่สร้างขึ้น

 

การเปรียบเทียบรายได้เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรทำเมื่อพิจารณาการลงทุนในหลายๆ อสังหาริมทรัพย์หรือหลักทรัพย์ต่างๆ เรามีทริคมานำเสนอ

1 การเปรียบเทียบในระดับเดียวกัน:

  • เลือกสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่คล้ายกัน: การเปรียบเทียบรายได้ควรทำโดยเลือกสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่มีลักษณะเดียวกันเพื่อให้การเปรียบเทียบเป็นที่เทียบเท่าได้ง่าย
  • การใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน: ควรใช้ตัวชี้วัดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละประเภทของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ เช่น Dividend Yield สำหรับหุ้น หรือ Bond Yield สำหรับตราสารหนี้

2 การคำนวณรายได้ต่อหน่วยเงินลงทุน:

  • การคำนวณ Dividend per Share: หากเปรียบเทียบหุ้น ควรคำนวณ Dividend per Share โดยหารจำนวนเงินทั้งหมดที่จ่ายเป็นเงินปันผลต่อหุ้น
  • การคำนวณรายได้ต่อหน่วยเงินลงทุน: หากเปรียบเทียบรายได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์ ควรคำนวณรายได้ที่ได้รับต่อหน่วยเงินลงทุน เช่น รายได้ต่อหน่วยเงินลงทุนในกองทุนรวม

4 การพิจารณาความเสี่ยงและความเป็นไปได้:

  • การวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง: ควรพิจารณาโอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน เช่น โอกาสในการเพิ่มมูลค่าของหลักทรัพย์ หรือความเสี่ยงในการขาดทุน

5 การใช้เครื่องมือการวิเคราะห์:

  • การใช้ตัวชี้วัดเสริม: การใช้เครื่องมือการวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น ราคาส่วนต่าง-ตายตัว (Price-to-Earnings Ratio) หรือ อัตราผลตอบแทนที่ลงทุน (Return on Investment) เพื่อช่วยในการเปรียบเทียบรายได้และความเสี่ยงของการลงทุน

 

เป็นไงบ้างครับหลังจากที่รู้จักกับคำว่า Yield แล้วพอจะมองภาพอกและเห็นหัวขึ้ที่จะศึกษาต่ออย่าจริงจังเพิ่มขึ้นมาบ้างมั้ยครับ ทางเราเองหวังว่าบทความบทนี้จะมีประโยชน์กับทุกๆท่านไม่มากก็น้อยนะครับ