Categories
News & Activities

วิกฤตสินเชื่อบ้าน: ภาระหนี้ Gen Y ส่งสัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทย

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ( เครดิตบูโร ) โพสต์ Facebook โดยเปิดเผยรายงานภาพรวมตลาดสินเชื่อบ้านในไตรมาสแรกปี 2567 นั้นยังค่อนข้างน่าเป็นห่วง จากข้อมูลล่าสุดจากเครดิตบูโรแสดงภาพรวมที่ทำให้เห็นถึงสัญญาณต่างๆที่บ่งบอกถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติสินเชื่อที่ลดลงส่งผลให้มีผู้กู้รายใหม่น้อยลง และปริมาณหนี้เสียและหนี้กำลังจะเสียที่เพิ่มสูงขึ้น ในปริมาณหนี้นี้กว่าครึ่งเป็นของกลุ่ม Gen Y ที่แบกรับหนี้เหล่านี้อยู่

ตลาดสินเชื่อบ้านซบเซา

บรรยากาศในตลาดสินเชื่อบ้านช่วงไตรมาสแรกปีนี้เต็มไปด้วยความอึมครึม ผู้ขอสินเชื่อจำนวนมากต้องพบกับความผิดหวังเมื่อถูกปฏิเสธถึง 50% สาเหตุหลักมาจากการที่สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ ทั้งในด้านการตรวจสอบรายได้และประวัติทางการเงิน เพื่อลดความเสี่ยงจากหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ จำนวนบัญชีสินเชื่อบ้านใหม่ที่เปิดในไตรมาสแรกปีนี้ยังลดลงอย่างน่าใจหาย เหลือเพียง 5.9 หมื่นบัญชี เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมากถึง 4.3 แสนบัญชี สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงานของผู้บริโภค

 

กราฟแท่งสีแดงคือหนี้ที่ค้างเกิน​ 90 วัน หรือหนี้เสียของสินเชื่อบ้าน​ แท่งสีเหลืองคือหนี้กำลังจะเสียหรือ​ SM สินเชื่อบ้าน​ กราฟแท่งด้านซ้ายคือจำนวนบัญชีแยกตามช่วงวัยของ​ Generation ในแต่ละไตรมาส​ เช่น ไตรมาส​ 1 ปี​ 2567​ Gen Y ถือสัญญาสินเชื่อบ้านที่เป็น​ NPL เท่ากับ​ 83,281 สัญญา​ คิดเป็นเงิน​ 1.24 แสนล้านบาท​

หนี้เสียพุ่งสูง – Gen Y แบกภาระหนัก

ปัญหาที่น่ากังวลที่สุดคือปริมาณหนี้เสีย (NPL) สินเชื่อบ้านที่เพิ่มขึ้นถึง 2 แสนล้านบาท หรือเติบโต 18% จากปีก่อนหน้า ขณะที่หนี้กำลังจะเสีย (SM) ก็สูงถึง 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% สิ่งที่น่าตกใจคือกลุ่มคน Gen Y ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลับกลายเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้เสียและหนี้กำลังจะเสียรวมกันมากกว่า 50% ของทั้งหมด

สาเหตุที่ Gen Y ต้องเผชิญกับวิกฤตหนี้สินเช่นนี้มีหลายประการ ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ รายได้ไม่เพิ่มขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้หลายคนก่อหนี้เกินตัวโดยไม่ได้วางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

วิกฤตหนี้สินเชื่อบ้านที่เกิดขึ้น ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้กู้และสถาบันการเงินเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศด้วย หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นจะทำให้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนและการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา เช่น การถูกยึดบ้าน การล้มละลาย หรือแม้กระทั่งการฆ่าตัวตาย

ทางออกและแนวทางแก้ไข

เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้สินเชื่อบ้าน จำเป็นต้องมีมาตรการที่ครอบคลุมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

  • ระยะสั้น: รัฐบาลและสถาบันการเงินควรเร่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การลดดอกเบี้ย หรือการพักชำระหนี้
  • ระยะยาว: ส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ เพื่อให้มีการจ้างงานและรายได้ที่มั่นคง

วิกฤตหนี้สินเชื่อบ้านเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและท้าทาย แต่หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง ก็ยังมีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ และนำพาเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

 

ที่มา : Facebook ส่วนตัวคุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ( เครดิตบูโร )

 

บทความน่าสนใจ : หนี้บัตรเครดิตพุ่ง 1 ล้านใบ! จ่ายขั้นต่ำ 8% ไหวมั้ย? – PINNACLE (pinnacle-amc.co.th)

 

Categories
News & Activities

หนี้บัตรเครดิตพุ่ง 1 ล้านใบ! จ่ายขั้นต่ำ 8% ไหวมั้ย?

หนี้บัตรเครดิตพุ่ง 1 ล้านใบ! จ่ายขั้นต่ำ 8% ไหวมั้ย?

ในยุคปัจจุบัน บัตรเครดิตกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้จ่าย สะดวก รวดเร็ว และทันใจ สำหรับใครหลายๆคน แต่ในขณะเดียวกัน บัตรเครดิตก็เปรียบเสมือนดาบสองคม ที่พร้อมจะฟาดฟันผู้ใช้ที่ประมาท ทำให้เป็นหนี้เป็นสิน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต จากข้อมูลของเครดิตบูโร ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่า ยอดหนี้เสียจากบัตรเครดิตพุ่งสูงถึง 1 ล้านใบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 6.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 14.6% yoy สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเศรษฐกิจและภาระหนี้สินครัวเรือนที่ประชาชนแบกรับ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตเป็น 8% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ส่งผลให้ประชาชนมีภาระในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น และจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10% ในปี 2568

อาจเป็นรูปภาพของ แผนที่ และ ข้อความ

กลุ่ม Gen Y ได้รับผลกระทบหนัก

จากข้อมูลพบว่า กลุ่ม Gen Y เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากหนี้เสียบัตรเครดิตมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เปิดบัตรเครดิตใหม่จำนวนมาก และยังมีประสบการณ์การเงินน้อย ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มนี้ลดลง จากข้อมูลจะพบว่า

เปิดไม่เกิน​ 2 ปี​ 36,000 ใบ

เป็น Gen Y​ 20,000 ใบ

เปิดมากกว่า​ 2 ปี แต่ไม่เกิน​ 4 ปี 39,000 ใบ

Gen Y​ 27,000 ใบ

Gen X​ 9,200 ใบ

เปิดมากกว่า​ 4 ปี แต่ไม่เกิน​ 6 ปี​ 45,000 ใบ

 Gen Y​ 30,000 ใบ

​ Gen X​ 1,2000 ใบ

 

หนี้กำลังจะเสียพุ่ง 32.4%

นอกจากยอดหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังพบว่า ยอดหนี้กำลังจะเสีย (SML) ก็พุ่งสูงถึง 32.4% คิดเป็นยอดเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท ภายใน3 เดือน เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างอันตรายเลยครับถ้าหากกลายไปเป็นหนี้เสียแล้วจะขึ้นไปอยู่ที่เท่าไหร่กัน เพราะว่าเฉลี่ยแล้วคนเรามีบัตรเครดิตอยุ่ที่ 2-3 ใบประกับกับที่ค่าชำระเพิ่มมาอีกใบละ 3% ทำให้หลายๆคนขาดความสามารถในการชำระหนี้ได้ไหว

ถึงแม้ว่านโยบายการปรับขึ้นของการจ่ายเงินขั้นต่ำมีเป้าหมายในการช่วยให้เงินต้นลดลงมากขึ้นนั้นจะมีความหวังดีในการช่วยเหลือลูกหนี้ให้เงินต้นหมดไวขึ้นแต่ในยุคนี่ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ารายได้ของลูกหนี้จะมีเท่าเดิมนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องยากในการที่ลูกหนี้จะแบกรับเอาไว้ไหว

อย่างไรก็ตามหากต้องการที่จะช่วยเหลือลูกหนี้อาจจะมีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้อยู่อีกดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปซึ่งจะเป็นการสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจไทยอีกด้วย

 

แนวทางจากเครดิตบูโร

เครดิตบูโร ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลเครดิต ได้ริเริ่มโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหนี้เสีย ดังนี้

  • โครงการแก้ไขหนี้เสีย: ให้คำปรึกษา และแนวทางการแก้ไขหนี้เสียแก่ลูกหนี้
  • บริการไกล่เกลี่ยหนี้สิน: ไกล่เกลี่ยระหว่างลูกหนี้ และเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน
  • ข้อมูลความรู้ทางการเงิน: ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครดิต การวางแผนการเงิน และการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
  • สื่อประชาสัมพันธ์: รณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาหนี้เสีย และวิธีการป้องกัน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กส่วนตัว คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)

เนื้อหาที่น่าสนใจ หอการค้าไทยแห่งประเทศไทยยืนชัดไม่สนับสนุนนโยบาย ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400